Yesterday & Today // THE FABULOUS BEATLES BAND

ชายกลุ่มหนึ่ง...เป็นกลุ่มนักดนตรี
ที่เคยถูกปฎิเสธจากผุ้บริหารคนหนึ่ง จากบริษัทเดคคาเรคคอร์ติ้ง
ปฎิเสธด้วยเหตุผลที่ว่า
"เราไม่ชอบเสียงเพลงของพวกเขา และกลุ่มนักดนตรีที่เล่นกีตาร์กำลังจะหมดสมัยแล้ว"
ชายกลุ่มนั้น...มีนามว่า "เดอะ บีเทิลส์"
สี่เต่าทองแห่งตำนาน วงดนตรีที่อิทธิพลสูงสุดใน 1ศตวรรษที่ผ่านมา


- Introducing The Beatles

จุดเริ่มต้นของวงดนตรีที่ยิ่งใหญ่ เริ่มจากเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน ค.ศ. 1956 John กับ Paul ได้รู้จักกัน และเริ่มแสดงดนตรีร่วมกันและเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม ค.ศ. 1958 George Harrison ได้เข้ามาร่วมวงอีกคน ขณะนั้นมีมือกลองชื่อ Pete Best และใช้ชื่อวงว่า Johnny And The Moondogs หลังจากนั้นไม่นาน ก็เปลี่ยนชื่อวงเป็น The Silver Beatles และเมื่อวันที่ 21 มีนาคม พวกเขาได้ไปแสดงครั้งแรกที่ Carvern Club ใน Liverpool โดยใช้ชื่อ The Beatles

Brian Epstein เจ้าของร้านแผ่นเสียง NEMS สนใจและได้ไปดู The Beatles ที่ Carvern Club หลังจากนั้น The Beatles ก็ได้ทำสัญญากับ Brian Epstein โดย Brian เป็นผู้จัดการวง และเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน ค.ศ. 1962 The Beatles ได้ไปทดสอบเสียงกับ George Martin โปรดิวเซอร์ของ EMI ต่อมาเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม ค.ศ. 1962 Ringo Starr เข้ามาเป็นมือกลองแทน Pete Best และเมื่อวันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 1962 George Martin ก็เข้ามาเป็น Producer ให้กับ The Beatles โดยอัด Single แผ่นแรก Love Me Do และ P.S. I Love You ได้รับความนิยมอย่างสูง หลังจากนั้นก็มี Single ตามออกมาอีกมากมาย เช่น Please Please Me, From Me To You, She Loves You, Twist And Shout, I Want To Hold Your Hand, I Saw Her Standing There และอีกมาก ตอนนี้แฟนเพลงคลั่งไคล้ The Beatles มาก จนเกิดคำศัพท์ใหม่ในวงการที่เรียกกันว่า "Beatlemania" John Lennon กับ Paul Mccartney ได้รับการรับรองว่าเป็นนักแต่งเพลงอังกฤษดีเด่น

Album ชุดแรกของวงคือ Meet The Beatles ออกในปี ค.ศ. 1964 ช่วงนี้เพลงของพวกเขาขายได้ดีมาก และเร็วมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ หลังจากนั้นเพลงของพวกเขาทั้ง Single และ Album ก็ดัง และขายดีทุกชุด นับเป็นปรากฏการณ์ใหม่ ในวงการดนตรีทีเดียว

อย่างไรก็ตามเบื้องหลังความสำเร็จของ The Beatles คือการมีสุดยอด Producer ที่ชื่อว่า George Martin และผู้จัดการคนสำคัญที่ทำให้ The Beatles โด่งดังไปทั่วโลกคือ Brian Epstein (Brian เสียชีวิตเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม ค.ศ. 1967) George Martin ปัจจุบันยังมีชีวิตอยู่ และชื่นชมใน The Beatles มาก

The Beatles ได้สร้างภาพยนตร์ไว้หลายเรื่องเช่นกันคือ
1. A Hard Day's Night
2. Help!
3. Magical Mystery Tour
4. Yellow Submarine
5. Let It Be

พวกเขาเล่นดนตรีร่วมกันครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 30 มกราคม ค.ศ. 1969 บนหลังคา Apple ของพวกเขาเองใน London (จะหาดูได้จากภาพยนต์ชุด Let It Be ซึ่งเป็นอัลบั้มชุดสุดท้ายของพวกเขา และเป็นชุดที่ 13 พอดี)

ในช่วงเวลาของ The Beatles (ค.ศ.1962-1970) พวกเขามีเพลงที่ได้รับความนิยมมากมายดังที่เราทราบกันอยู่ พวกเขาได้สร้างเพลงที่มีคุณค่าเอาไว้มากมาย นับเป็นมรดกสำคัญในวงการดนตรีเลยที่เดียว และเป็นเรื่องที่น่าแปลก แม้ The Beatles จะแตกแยกกันไปถึง 30 กว่าปีแล้ว แต่บทเพลงของพวกเขายังคงกล่อมชาวโลกอยู่ทุกวัน เพลงของพวกเขามีเสน่ห์ สามารถสะกดใจทุกคนที่ได้ฟัง มีความลงตัวทั้งในด้าน เนื้อร้อง ทำนอง เสียงประสาน การเล่น และเรียบเรียงดนตรี ดังนั้น บทเพลงของ The Beatles จึงเป็นอมตะเหนือกาลเวลา จนทำให้ The Beatles ถูกจัดว่าเป็นวงดนตรียอดนิยมอันดับ 1 ตลอดกาลของโลก

ปัจจุบันเพลงของ The Beatles มีอิทธิพลต่อการสร้างงานดนตรีของศิลปินรุ่นหลัง ๆ อย่างมาก และในหลายๆ ประเทศจะมีวงดนตรีที่เราเรียกว่า "The Beatles Tribute Band" มากมาย หลายวง รวมทั่วโลกคงมีเ
ป็นร้อย ๆ วง โดยวงเหล่านี้จะเล่นเฉพาะเพลงของ The Beatles




- Yesterday & Today The Beatles

Paul McCartney

พอลแยกตัวออกมาหลังจาก วงสีเต่าทองได้มีการแตกในปี 2513 และพอลได้ ร่วมกับภรรยา ลินดา แม็กคาร์ตนี ในเดือนเมษายน 2513 และได้ตั้งวง ที่มีชื่อว่า วิงส์(Wings) ในเดือนสิงหาคมปีต่อมา หลังจากวงแตกพอลก็ได้ออกมาเป็นศิลปินเดี่ยวจนมาถึงปัจจุบัน
เครื่องดนตรีของพอล พอล แม็กคาร์ทนี่ย์ ใช้ เบส Hofner ตั้งแต่ปี 1962 และได้ใช้มาตลอดในการแสดงจนถึงปัจจุบัน มีเพียงบางครั้งที่จะใช้ Rickenbacker 4001 bass ตัวนี้จะใช้งานในห้องอัด กีต้าร์ที่ใช้ก็จะมี
Gibson J160E และ Martin D-28 พอลเป็นมือกีต้าร์ที่ไม่มีความสนใจในเครื่องดนตรี อย่างกีต้าร์โปร่งสองตัวที่ได้กล่าวไว้ เป็นการซื้อตามเพื่อนไม่ใช้ความชอบส่วนตัวของพอล
รางวัล Awards พอลเป็นศิลปินที่ได้รับการบันทึกไว้ใน Guinness World Records ว่าเป็นนักดนตรีและนักแต่งเพลงที่ประสบความสำเร็จทีสุดในประวิติศาสตร์ดนตรีป๊อป ตามด้วยได้รางวัลแผ่นเสียงทองคำ 60 ครั้ง ขายได้กว่า 100 ล้านซิงเกิล รวมถึงเพลงที่พอลแต่งร่วมกับเลนนอน เป็นที่ถูกนำมาคัฟเวอร์มากที่สุดในโลก ถูกแพร่ภาพและเสียงในอเมริกากว่าเจ็ดล้านครั้ง
มากกว่านักดนตรี พอลนอกจากจะเป็นนักดนตรีแล้ว พอลยังเป็นจิตรกร นักกิจกรรมต่อสู้ด้านสิทธิสัตว์ นักมังสวิรัติ และพอลยังได้รับ
ตำแหน่ง “เซอร์” จากสมเด็จพระราชินีอังกฤษเมื่อปี ค.ศ.1996

Ringo starr

หลังจาก The Beatles แตกวงในช่วงยุค 1970 ริงโกก็ยังมีผลงานออกมาเรื่อยๆ มีหลายผลงานที่เป็นเพลงฮิตติดชาร์ต แต่จะเห็นได้ว่าหลายๆเพลงล้วนมาจากการแต่งเพลงของเพื่อนเก่าใน The Beatles อย่างเพลงที่ดังที่สุดของริงโกอย่าง Photograph ก็ได้ George Harrison มาช่วยแต่งให้ เพลง I’m the greatest เพลงที่ริงโกใช้ด่าพวกที่ดูภูกเขาก็ได้ John Lennon มาแต่งให้ อีกหลายๆเพลงก็เป็นเพลง cover หรือไม่ก็คนอื่นแต่งให้ ที่จะเป็นฝีมือการแต่งของริงโกเองก็มีอย่าง It don’t come easy ซึ่งว่ากันว่าเป็นฝีมือการแต่งของ George Harrison แต่ยกเครดิตให้ริงโก
ถือได้ว่าผลงานการเป็นศิลปินเดียวของริงโกนั้นไม่ค่อยประสบความสำเร็จสักเท่าไหร่ ผลงานที่ดีที่นำมาเป็นอัลบั้มรวมฮิตก็มีแค่ผลงานในช่วงแรกๆของการเป็นศิลปินเดี่ยว ประมาณยุค 70 แต่ริงโกก็ยังถือได้ว่าประสบความสำเร็จจากอิทธิพลใบบุญเก่าของ The Beatles

John Lennon

หลังจากวงแตก นอกจากนี้ยังคงออกอัลบั้มเดี่ยวที่มีชื่ออัลบั้มว่าImagine ตามด้วย Mind Games, Rock and Roll และ Walls and Bridge และยังเป็นนักปฏิวัติสงครามเวียดนามหลังย้ายเข้าไปอยู่ใน New York และมีลูกหนึ่งคนกับ Yoko Ono ชื่อว่า Sean Lennon ยังมีลูกเขาก็ได้หยุดการทำดนตรีถึง 5 ปีเพื่อทำหน้าที่ของพ่อ แต่หลังจากนั้นก็ผลิตผลงานเพลงของเขาต่อไป เพลงชื่อดังตัวอย่างเช่น Imagine ที่เสนอความเท่าเทียมกันของคนทั้งโลก ปราศจากเชื้อชาติ ต่อต้านสงคราม Lennon ถูกยิงเสียชีวิต บริเวณอพาร์ตเมนต์ของเขาที่กรุงนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา โดยมาร์ก เดวิด แชปแมน (Mark David Chapman) แฟนเพลงที่คลั่งไคล้เขา ตำรวจพบหลักฐานว่าแชปแมนติดยาเสพติด และมีอาการป่วยทางจิต วันที่เขายิงเลนนอนนั้นในมืออีกข้างเขาถืออัลบัม Double Fantasy ซึ่งเป็นอัลบัมล่าสุดของจอห์นกับโยโกะ และที่หน้าปกมีลายเซ็นของจอห์นซึ่งเซ็นให้เขาเมื่อคืนก่อนหน้านั้นอยู่ด้วย

George Harrison

หลังจากแยกกันจากวง จอร์จแสดงให้เห็นว่าเขามีหัวในการแต่งเพลงเก่งกาจไม่แพ้เพื่อนงานเดี่ยวของเขาอย่าง All Things Must Pass ได้รับความนิยมอย่างมากโดยเฉพาะเพลง My Sweet Lord ได้รับความนิยมไปทั่วโลก ขณะที่ Living In The Material World อัลบั้มถัดมาขายได้ถึง 3 ล้านก็อปปี้ในสหรัฐ แต่หลังจากนั้นเมื่อจอร์จหันไปเข้าฌานพร้อมกับให้ความสนใจกับศาสนาฮินดูอย่างจริงจัง เขาก็หยุดงานดนตรีไว้เฉยๆ โดยอ้างว่าตนเองมีความเป็นคนสวนมากกว่าการเป็นคนบันเทิง และก็หันไปทำสวนอย่างจริงจัง พร้อมกันนั้นก็รับบทเป็นผู้สร้างหนังไปด้วย
เพื่อนสนิทของ จอร์จ แฮริสัน บอกหลังจากที่เขาเสียชีวิตเอาไว้ด้วยว่า แม้ตลอดเวลาที่เขาจะอยู่กับโรคร้ายอย่างมะเร็ง แต่ดูเหมือน จอร์จ ไม่เคยรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องเลวร้ายแต่อย่างไร คำพูดติดปากที่เขามีอยู่ตลอดเวลาเมื่อมีคนถามถึงมะเร็งที่เขาเป็นก็คือ
“ผมกำลังชดใช้กรรมเก่า”
และการที่เขาจากไปอย่างไม่มีวันกลับนั้นก็เป็นเพราะจอร์จได้ชดใช้กรรมของเขาจนหมดสิ้นแล้ว



- สมาชิกคนที่ห้าของเดอะบีทเทิลส์ ???

นีล แอสปินัล (NEIL ASPINAL) ตลอดระยะเวลา 47 ปี นีล แอสปินัล เปรียบเหมือนเพื่อนสนิท คนที่ไว้ใจ เขาไม่เคยหาผลประโยชน์กับชื่อเสียงของเพื่อนสมาชิก น้อยครั้งที่จะให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน เขาทำงานตั้งแต่คนขับรถรับ-ส่งสมาชิกทั้งสี่ไปเปิดการแสดงตามที่ต่างๆ จนกระทั่งทำงานเป็นผู้บริหารองค์กร สร้างรายได้เป็นปึกแผ่นให้กับบริษัทแอปเปิล จนบริษัทมีมูลค่าถึง 2,000 ล้านปอนด์
นีลเรียนอยู่ชั้นเดียวกับ พอล แมคคาร์ทนีย์ ที่ LIVERPOOL INSTITUTE GRAMMAR SCHOOL ส่วนจอร์จ แฮร์ริสัน เรียนอยู่ต่ำกว่าชั้นหนึ่ง ทั้งสามสนิทกัน มักแอบไปสูบบุหรี่อยู่ข้างหลุมหลบภัยข้างโรงเรียน ส่วน จอห์น เลนนอน เรียนอยู่ที่ LIVERPOOL COLLEGE OF ART ซึ่งอยู่ติดกันกับ GRAMMAR SCHOOL ต้นปี ค.ศ. 1962 หลังจากเดอะบีทเทิลส์ออกงานฮิต LOVE ME DO ติดชาร์ต TOP 20 พวกเขาเริ่มเป็นที่รู้จักของแฟนเพลงทั่วอังกฤษ รวมทั้งอีกหลายประเทศในเครือจักรภพ งานแสดงมีเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย นีล แอสปินัล ยังทำหน้าที่ขับรถรับ-ส่งสมาชิกทั้งสี่ ดูแลด้านบริหาร
ปี ค.ศ. 1967 ไบรอัน เอ็ปสไตน์ เสียชีวิตกะทันหัน เนื่องจากเสพยาเกินขนาด นีล แอสปินัล ทำหน้าที่บริหารและดำเนินธุรกิจแทน ปี ค.ศ. 1968 เดอะบีทเทิลส์ฟอร์มบริษัท APPLE CORPS เพื่อดูแลกิจการธุรกิจด้านดนตรี นีล แอสปินัล ถูกเชิญให้มาเป็นผู้บริหาร ปีเดียวกันนี้ที่นีล แอสปินัล แต่งงานกับ SUZY ORNSTEIN ลูกสาวผู้อำนวยการสร้างบริษัทภาพยนตร์ยูไนเต็ดอาร์ติสต์ ทั้งสองเจอกันขณะที่เดอะบีทเทิลส์ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง A HARD DAY'S NIGHT และ HELP
นีลวางมือด้านบริหารมาทำโปรเจ็กต์กับจอร์จ แฮร์ริสัน ความสนิทสนมระหว่างนีลกับจอห์น พอล และริงโก ยังคงเต็มร้อย อัลเลน ไคล์น อยู่เกือบ 2 ปี ไม่สามารถแก้ปัญหาด้านการเงินให้กับ APPLE CORPS อีกทั้งเขามีความขัดแย้งกับพอลและจอห์น ประจวบกับเดอะบีทเทิลส์แตกวงในปี ค.ศ. 1970 คนที่สมาชิกทั้งสี่ไว้ใจที่สุดคือ นีล แอสปินัล นีลกลับมาบริหาร APPLE CORPS อีก
นีล แอสปินัล บริหาร APPLE CORPS จนกระทั่งปี ค.ศ. 2007 ขอลาออกเนื่องจากประสบปัญหาด้านสุขภาพ งานชิ้นโบแดงหลายชิ้นที่สร้างรายได้มหาศาลให้กับ APPLE CORPS ได้แก่โปรเจ็กต์อัลบั้ม THE
BEATLES ANTHOLOGY ซึ่งมีทั้งซีดี ดีวีดี หนังสือ บทสัมภาษณ์บรรดาสมาชิกในช่วงต่างๆ กินเวลาร่วม 13 ชั่วโมง ในรูปแบบโฮมวิดีโอ อัลบั้มซิงเกิลอันดับหนึ่งชื่อ I จำหน่ายทั่วโลกกว่า 30 ล้านแผ่น รวมทั้งโปรเจ็กต์ LOVE ที่ทำร่วมกับ CIRQUE DU SOLEILนีล แอสปินัล ป่วยเป็นโรคมะเร็งที่ปอดอยู่หลายปี ครั้งสุดท้ายเข้าบำบัดรักษาที่ MEMORIAL SLOAN-KETTERING CANCER CENTER ในนิวยอร์ก จนกระทั่งจากไปอย่างไม่มีวันกลับ เมื่อวันที่ 23 มีนาคมที่ผ่านมา ก่อนเสียชีวิตหนึ่งวัน พอล แมคคาร์ทนีย์ เพื่อนสนิท บินตรงจากลอนดอนเข้าเยี่ยมดูใจเป็นครั้งสุดท้าย มิตรภาพและความสัมพันธ์อันลึกซึ้งสลักอยู่ในข้อความหลังนาฬิกาข้อมือที่พอล แมคคาร์ทนีย์ มอบให้กับนีลก่อนเสียชีวิตไม่นาน "THANK YOU FOR THOSE 47 YEARS OF UNSWERVING LOYALTY"



Don't Let Me Down (Live On Roof Top)


Thank You Very Much
-
http://www.youtube.com/
- ไทยโพสต์
-
http://www.loghomerestaurant.com/

-คณะผู้จัดทำ

  • นายศักดิ์ณรงค์ พันเฟื่อง 48610118
  • นายเพิ่มศักดิ์ วรรณยิ่ง 48610131
  • นายศิวะ สะสม 48610113

  • นายปรีชพล สารธรรม 48610108

  • ??? ??? 48610191

น้องหมีพาเพื่อนตะลุยเกาะเกร็ด




ไปเที่ยวเกาะเกร็ดกัน!!!

สองมือล้วงกระเป๋า สองเท้าก้าวขึ้นเรือ (ระวังหัวด้วยนะ เพราะเรือมันเตี้ย).....เราจะไปเกาะเกร็ดกัน

เกาะใกล้ๆ กรุงเทพฯ ใช้เงินค่ารถ+ค่าเรือไม่กี่บาท ก็ถึงแหล่งขนมหวาน อาหารอร่อย มีเครื่องปั้นดินเผา มีวัดสวยๆ มีของให้ช็อปปิ้งเยอะแยะ

Image Hosting by PictureTrail.com
เมื่อเท้าข้างแรกเหยียบลงบนแผ่นดินเกาะเกร็ด กระแสความตื่นเต้นก็วิ่งพล่านไปทั่วร่างกาย (เว่อร์) เสียงแรกที่ได้ยินคือเสียงเพลงที่ดังมาจากวัด ถ้าคุณคิดว่าเป็นเสียงสวดมนต์ เสียงเพลงลูกทุ่ง คุณคิดผิด... เป็นเพลงของอ๊อฟ ปองศักดิ์ อัลบั้มล่าสุดซะด้วย เสียงก็ อืม...พอใช้ได้ แม้ว่าจะดำน้ำไปบ้าง ถ้าคุณอยากรู้ว่าใครเป็นคนร้อง เข้าไปดูได้ที่กระจายเสียงของวัดปรมัยยิกาวาส


Image Hosting by PictureTrail.com
พูดถึงวัดปรมัยยิกาวาสแล้ว คนที่รู้จัก หรือแม้แต่เคยได้ยินชื่อ ก็น่าจะเคยเห็นเจดีย์เอียงๆ ที่ตั้งอยู่ริมน้ำ ตรงหัวโค้งของแม่น้ำเจ้าพระยาพอดี และถ้าจะบอกว่าวัดนี้เป็นสัญลักษณ์ของเกาะเกร็ดก็คงจะไม่ผิด วัดปรมัยยิกาวาสเป็นวัดมอญที่มีมาแต่ดั้งเดิม คาดว่าสร้างในสมัยอยุธยา และถูกบูรณปฏิสังขรณ์ในสมัยรัชกาลที่ 5 เนื่องจากได้เสด็จพระราชดำเนินมาทอดผ้าพระกฐิน และทรงเห็นว่าวัดนี้อยู่ในทำเลดีแต่ทรุดโทรมมากกว่าพระอารามอื่นๆ จึงทรงมีพระราชศรัทธาที่จะสถาปนาให้ดีขึ้น ภายในวัดมีพิพิธภัณฑ์ที่แสดงศิลปะวัตถุที่เก่าแก่ ทั้งเครื่องมือเครื่องใช้ ตู้พระไตรปิฏก บทสวดมนต์ภาษารามัญ รวมถึงจัดแสดงเครื่องปั้นดินเผาที่เลื่องชื่อของเกาะเกร็ดด้วย ออกมาจากวัดปรมัยฯ แล้วเดินเรื่อยๆ ไปตามทาง สองฝั่งมีแต่ร้านค้า ขายทั้งของกิน ของใช้ ของเล่น ของประดับ อย่าเพิ่งตกใจ หรือรีบร้อนซื้อซะตอนนี้ ขอเตือน...ยังมีให้เลือกอีกเยอะ สิ่งที่สังเกตได้ชัดว่ามีอยู่เยอะมากเมื่อเดินอยู่บนเกาะเกร็ด คือเครื่องปั้นดินเผา มีทั้งแบบเป็นเศษชิ้นส่วน และแบบสวยงามที่มีไว้ขาย อันนี้ก็เนื่องจากเกาะเกร็ดเป็นแหล่งเครื่องปั้นดินเผาที่ขึ้นชื่อ ทุกแบบ ทุกสไตล์ ทั้งชิ้นเล็ก ชิ้นใหญ่ ซึ่งพัฒนาขึ้นมาจากเดิมที่มีแต่รูปทรงเก่าๆ เช่น หม้อน้ำลายวิจิตร(เป็นสัญลักษณ์ของจังหวัดนนทบุรีด้วย) ตอนนี้ก็มีทั้งถ้วยกาแฟ นาฬิกา โคมไฟ ตะเกียงอโรมา


Image Hosting by PictureTrail.com
เดินมาอีกเรื่อยๆ ก็จะเจอท่าน้ำอีกท่า ที่เป็นท่าเทียบเรือท่องเที่ยว อยู่บริเวณหน้าวัดไผ่ล้อม แถวนั้นก็จะเป็นร้านขายอาหาร มีทั้งขนมจีน ข้าวแช่ ห่อหมก หรือขนมหวานแบบโบราณ ในวัดไผ่ล้อมมีโบสถ์ที่ลายหน้าบันจำหลักเป็นลายดอกไม้ เจดีย์รูปทรงแปลกตา ศิลปะของชนชาติมอญ ทาสีทองอร่าม ข้างวัดเป็นที่ดินว่างๆ เห็นว่าชาวบ้านนำวัว-ควายมาเลี้ยงที่นี่ ที่นี่แหละ ที่เราได้พบกับน้องเนื้อทอง น้องหมูป่าหน้าตาน่ารัก เดินเล่นไปทั่ว บางทีก็มีแม่ค้าให้อาหาร แต่...น้องเนื้อทองนี่กลมกลิ้งจริงๆ นะ


Image Hosting by PictureTrail.com
ย่ำเท้ามาอีกนิดหน่อย ก็เจอกับวัดที่สาม วัดเสาธงทอง แถวนี้อาจจะดูเงียบสงบผิดจากทางที่เคยเดินผ่านมา ก็เพราะไม่มีร้านค้าสักเท่าไหร่แล้ว จะมีก็แต่ร้านอาหารเล็กๆ ของชาวบ้าน วัดนี้สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยธนบุรี อาจจะดูเก่าและทรุดโทรมไปบ้าง แต่พอเข้ามานั่งพักเหนื่อยในวัดที่ร่มรื่นแล้ว ก็ทำให้สบายเนื้อสบายตัวขึ้นมาก ที่หน้าวัดก็มีร้านให้เช้าจักรยานขี่ชมรอบเกาะ ถ้าคุณมีเวลามากสักนิด อยากออกกำลังกายพร้อมๆ กับท่องเที่ยวเชิงเกษตร ก็ใช้บริการได้ที่นี่ บนเกาะเกร็ดยังมีทั้งที่นา สวนผักผลไม้ รวมไปถึงการใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายให้ได้ศึกษา




(เกาะ) เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย


  • เกาะเกร็ดเป็นเกาะขนาดใหญ่อยู่กลางแม่น้ำเจ้าพระยา มีพื้นที่ประมาณ 2,820 ไร่ มีสถานะเป็นตำบล แบ่งเขตการปกครองออกเป็น 7 หมู่บ้าน อยู่ในเขตพื้นที่อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี

  • แต่เดิม เกาะเกร็ดไม่ได้มีสภาพเป็นเกาะเหมือนในทุกวันนี้ แต่เนื่องจากในสมัยสมเด็จพระเจ้าท้ายสระแห่งกรุงศรีอยุธยา ได้ทรงโปรดเกล้าฯให้ขุดคลองลัดเพื่อให้การสัญจรสะดวกขึ้น เรียกว่า “คลองลัดเกร็ดน้อย”

  • ย่านเกาะเกร็ดเป็นชุมชนที่มีความเจริญมาตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนปลาย เป็นทั้งชุมชนค้าขาย และเป็นที่ตั้งด่านตรวจเรือต่างๆ ที่จะเดินทางผ่านไปมายังกรุงศรีอยุธยา

  • ชาวมอญที่อยู่บนเกาะเกร็ด ได้อพยพเข้ามาในประเทศไทยตั้งแต่สมัยสมเด็จพระเจ้าตากสิน และสมัยสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย





ชวนชิม


  • เป็นไปไม่ได้ที่มาถึงเกาะเกร็ดแล้วจะไม่ได้ชิมทอดมันหน่อกะลา รสชาติก็คล้ายๆ ทอดมันทั่วไป แต่เวลาเคี้ยวจะกรุบๆ หน่อกะลาเป็นผักพื้นเมืองของเกาะเกร็ด อยู่ตระกูลเดียวกับขิง ใช้หน่ออ่อนมาทำอาหาร เช่น รับประทานสด ต้มจิ้มน้ำพริก แถมยังมีสรรพคุณทางสมุนไพร

  • Image Hosting by PictureTrail.com


  • อาหารอีกอย่างที่ขึ้นชื่อของเกาะเกร็ดก็คือ ข้าวแช่ เป็นอาหารมอญแท้ๆ ที่แผ่อิทธิพลมาสู่วัฒนธรรมการกินของชาววัง แล้วแพร่มาสู่ชาวไทยทั่วไป แต่เดิม ข้าวแช่จะทำเฉพาะในช่วงสงกรานต์ กินแก้ร้อน แต่ปัจจุบันก็มีให้ชิมตลอดทั้งปี

  • อาหารมอญ นอกจากข้าวแช่แล้ว ก็ยังมีทั้งแกงกล้วยดิบ แกงเขียวหวานคอมะพร้าว แกงลูกโยนผักบุ้งใบมะขามอ่อน พริกกะเกลือ อาจจะหากินทั่วไปได้ยากสักหน่อย ถ้าไม่ใช่ในชุมชนชาวมอญ

  • อาหารชาววัง ที่มีอาหารชาววังอยู่บนเกาะนี้ก็เนื่องจาก สมัยก่อน เกาะเกร็ดเป็นที่พักระหว่างทางเมื่อพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์จะเสด็จประพาสพระราชวังบางปะอิน ดังนั้นจึงมีการถ่ายทอดวิชาอาหารชาววังให้แก่คนเกาะเกร็ดจนชำนาญ อาหารชาววังที่มีให้เห็นก็เช่น แกงมัสมั่น หมี่กรอบ ยำใหญ่ แกงบวน หมูกระจก


  • Image Hosting by PictureTrail.com


  • ของกินเล่น มีให้ซื้อตลอดทางเดิน ทั้งผักทอด ไก่โสร่ง ปู่เจ้าเงาะ ถุงทอง ขนมเบื้องมอญ บางอย่างอาจจะไม่เคยได้ยินชื่อ แต่ก็หน้าตาน่ากิน

  • ของหวาน ตัวเกาะเกร็ดเองก็เป็นแหล่งขนมหวานอยู่แล้ว จึงมีของขึ้นชื่อหลายอย่าง เช่น ขนมหันตราหรือตราทอง ขนมตระกูลทองทั้งหลาย ลูกชุบ ลูกตาลเชื่อม ขนมไทยโบราณที่ไม่เคยเห็น

  • ขนมถ้วย อันนี้เราขอแนะนำเป็นพิเศษ ขนมถ้วยแสนอร่อย หวานมัน นั่งกินในร้านบรรยากาศผับสไตล์คันทรี่ ชิลสุดๆ แค่บรรยากาศก็กินขาดแล้ว ลูกค้ามีตั้งแต่รุ่นเล็กไปจนรุ่นใหญ่ ใครได้ลองมาชิมก็ติดใจ แถมเจ้าของร้านก็ใจดี ไม่เคยกินขนมถ้วยแล้วมีความสุขแบบนี้มาก่อนเลยในชีวิต ข้อแนะนำคือ ควรรีบไปก่อนบ่ายสอง เพราะอาจจะหมดได้

Image Hosting by PictureTrail.com




ชวนซื้อ

เนื่องจากบนเกาะมีของขายเยอะมาก เราจะขอแบ่งเป็นประเภทแล้วกัน


  • ของกิน อันนี้ย้ายไปดูที่หัวข้อชวนชิมดีกว่า

  • ของเล่น ส่วนใหญ่จะเป็นของเล่นแบบโบราณ ทั้งแบบไม้ โลหะ และเครื่องปั้นดินเผา แต่ที่ฮิตสุดๆ คงจะเป็นเครื่องไม้ มีทั้งชิ้นเล็ก ชิ้นใหญ่ให้เลือกตามใจชอบ

  • ของประดับ ล้วนแต่เป็นของแฮนด์เมดทั้งสิ้น ทั้งรูปวาด รูปถ่าย ของประดับบ้านกระจุกกระจิก

  • ของใช้ กระเป๋า เสื้อผ้า รองเท้า เครื่องประดับ มีทุกอย่าง

  • ของฝาก สิ่งที่ดูเหมือนว่าจะเป็นจะต้องซื้อกลับไปทุกคนก็คือ เครื่องปั้นดินเผา มีทั้งรูปแบบคลาสสิก และโมเดิร์นสุดๆ ที่ศูนย์เครื่องปั้นดินเผาของเกาะเกร็ด มีช่างคอยสาธิตวิธีการปั้นให้ชม




ไปยังไงมายังไง


  • ถ้ามารถของตัวเอง ขึ้นทางด่วนมาก็ได้ สะดวกดี มาทางแจ้งวัฒนะ แล้วใช้ทางออกปากเกร็ด ขับตรงมาเรื่อยๆ ผ่านแยกปากเกร็ด จนเห็นห้างโลตัส ให้เลี้ยวเข้าซอยข้างๆ ห้าง ขับตรงไปตามทางอีกนิดหน่อย จะเจอวัดสนามเหนือ จะมีที่จอดรถอยู่ แล้วเดินเข้าไปในวัด จะเห็นท่าน้ำที่ข้ามไปเกาะเกร็ด

  • ถ้ามารถเมล์ มาสายอะไรก็ได้ที่เข้าปากเกร็ด ถ้าไม่รู้จะเริ่มต้นตรงไหนก็ไปที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ขึ้นรถสาย 166 รถจะขึ้นทางด่วนมา ลงที่ป้ายสุดท้าย เดินเข้าซอยวัดสนามเหนือ หรือจะใช้บริการสามล้อถีบ 10 บาท ถึงวัดแล้วก็เดินเข้าไป จะมีท่าน้ำอยู่ ค่าเรือข้ามฟาก 2 บาท

Image Hosting by PictureTrail.com




ข้อควรระวังในการมาเที่ยวเกาะเกร็ด


  • ไม่ควรมาช่วงเทศกาล หรือวันหยุดยาว เพราะคนเยอะมากกกกกก ถึงมากที่สุด

  • เตรียมให้พร้อม ทั้งร่างกาย จิตใจ และเงินในกระเป๋า ร่างกาย-คุณจะต้องเดิน เดิน และเดิน ถึงแม้ว่าจะมีจักรยานให้เช่าก็ตาม แต่การเดินเท้าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการชมเกาะเกร็ด จิตใจ-ทำใจแข็งเข้าไว้สำหรับนักช็อปทั้งหลาย คุณอาจจะต้องแวะทุกร้าน เพราะสินค้ามันดึงดูดใจเหลือเกิน เงินในกระเป๋า-จะเปลี่ยนไปตามสภาพความแข็งแรงของจิตใจ เมื่อคุณใจอ่อน เงินคุณก็จะเหลือน้อย

  • เราเตือนคุณแล้ว หากไม่เชื่อ พิสูจน์ได้ด้วยตัวคุณเองที่เกาะเกร็ด วันเสาร์อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ช่วงสายๆ ถึงเย็นๆ


Thanks


  • ข้อมูลจากหนังสือ เกาะเกร็ด โดยคุณเอ๊ด ภิรมย์ (ซื้อหนังสือได้ที่วัดปรมัยยิกาวาส)

  • อาหารอร่อยๆ บนเกาะ ทำให้เรามีแรงเดิน

  • พี่ป้าน้าอาบนเกาะ ที่ยังรักษาขนบประเพณีแบบมอญไว้ให้เราได้ชม











Thai Text Generator Thai Text Generator Thai Text Generator Thai Text Generator Thai Text Generator

Don't think just shoot



"Don't think just shoot"



วันนี้ความทรงจำของใครหลายคนอาจจะเลือนลางไปตามกาลเวลา แต่ “รูปภาพ” ที่ยังคงอยู่ก็สามารถย้อนเวลาให้เราได้นึกถึงความทรงจำในวันเก่าๆ ความสนุกสนาน ความโศกเศร้าเสียใจ รอยยิ้ม และเสียงหัวเราะที่ยังคงติดอยู่กับภาพความทรงจำไม่มีวันเปลี่ยนแปลง


แต่ถึงอย่างไรโลกของเทคโนโลยีในปัจจุบัน ถ้าพูดถึงอุปกรณ์ในการบันทึกภาพทุกคนคงนึกถึงกล้องดิจิตอลตัวเล็กๆหรือตัวใหญ่ๆที่มืออาชีพใช้ กล้องวีดีโอ กล้องมือถือและอื่นๆอีกมากมาย จนหลายคนพากันลืมกล้องฟิล์มที่ยังคงมีกลิ่นอายของความคลาสสิกจนหมดสิ้น แต่ปัจจุบันมีรูปภาพแปลกตาซึ่งยังคงใช้การบันทึกลงบนฟิล์มกำลังเป็นที่นิยม ภาพเหล่านี้มีจุดเด่นอยู่ตรงองค์ประกอบของภาพที่ซ้อนทับกัน สีเพี้ยนจัดจ้าน โดยพบเห็นได้มากมายทางอินเทอร์เน็ต หลายคนเรียกรูปภาพประเภทนี้ว่า “ถ่ายภาพแนวโลโม” หรือ “Lomography



จากภาพเหล่านี้ ทำให้ชาวโลโม่และกลุ่มคนทั่วไปหลงใหลและหันมาสนใจ “กล้องโลโม (Lomo)” มากขึ้น และ “กล้องโลโม (Lomo)” ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะไม่ทำให้คนที่คลั่งไคล้การถ่ายรูปผิดหวัง
เมื่อย้อนกลับไปกว่า 40 ปี กล้อง Lomo ออกแบบมาใช้ในกองทัพรัสเซีย โดย LOMO ย่อมาจาก Leningrad Optical Machinery Organization แปลว่า “รัฐวิสาหกิจแห่งเมืองเลนนินกราด” ที่ทำหน้าที่ผลิตเลนส์เพื่อใช้ในโครงการอวกาศของกิจการกองทัพ จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2526 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงและอุตสาหกรรมของสหภาพโซเวียต มีคำสั่งให้หน่วยงาน LOMO เลียนแบบกล้องคอมแพคท์ของญี่ปุ่น ให้เร็วที่สุด ถูกที่สุดและมากที่สุด เพื่อแจกจ่ายให้พลเมืองรัสเซียทุกคนได้รู้จักการถ่ายรูป ตามสโลแกนเชิงเผด็จการว่า “คอมมิวนิสต์อันทรงเกียรติทุกคนควรมีกล้อง Lomo Kompakt Automat LC-A เป็นของตัวเอง” แต่ความยอดนิยมของกล้องตัวนี้แจ้งเกิดเมื่อ พ.ศ. 2535 นักศึกษาหนุ่มชาวออสเตรีย 2 คนเดินทางไปเที่ยวรัฐเซียแต่ลืมพกกล้องด้วย จึงไปซึ้อกล้อง Lomo มาโดยบังเอิญและพบว่ากล้องราคาถูกตัวนี้ ให้ภาพแปลกๆ และฉีกกฎเกณฑ์เดิมๆอย่างสิ้นเชิง หลังจากนั้นไม่นานกระแสความนิยมใน Lomo ก็กระจายไปทั่วโลก ภายใต้แนวความคิดว่า "Lomography is an analog lifestyle product
หลายๆคนอาจจะยังสงสัยว่า Lomo คืออะไร ถ้าให้พูดถึง Lomo ก็คือการถ่ายภาพแบบตามใจฉัน ไร้ซึ่งกฎเกณฑ์ มีมุมแปลกๆ มุมก้ม มุมเงย มุมเสย มุมเฉียงรวมทั้งมุมทะแยง แล้วแต่ตามสะดวกในมุมมองของคนถ่ายเลย ไม่ต้องสนใจกับองค์ประกอบใดๆ หรือจะถ่ายแบบ Snap โดยการถ่ายรูปอย่างรวดเร็วโดยไม่มองผ่านเลนส์







การมาตีความกันว่า Lomo ต้องถ่ายอย่างไรคงเป็นเรื่องยาก เพราะไม่มีกฎใดๆเลย ตอบได้แต่ว่า "Don't think just shoot " ซึ่งแปลได้ใจความว่า " ถ่ายๆไปเถอะ ไม่ต้องคิดมาก" แค่ขอให้เวลาถ่ายภาพแล้วมีความสุขมากขึ้น เพิ่มความอิสระให้กับความคิด หรืออาจจะเรียกได้ว่า Lomo เป็นลัทธิความสุขนิยม ในรูปแบบของการถ่ายภาพ
“ฉันก็เป็นคนหนึ่งที่หลงใหลในกล้อง Lomo ที่มีรูปลักษณ์ทรวงทรง อ้วน เว้า เหลี่ยม สีสันที่บาดตา และขนาดที่เล็กกะทัดรัด สะดวกพกพาง่าย ความทรงจำครั้งแรกที่ได้ทำความรู้จักกับเจ้ากล้อง Lomo จากฟิล์ม 1 ม้วน ที่สามารถถ่ายทอดรูปได้ถึง 36 รูป แต่สิ่งที่ฉันได้คือ 0 รูป ฉันเสียรูปไปทั้งม้วนเลย แต่พอรู้จักทำความคุ้นเคยกับมันมากขึ้น ทีนี้เจ้า Lomo ก็ทำให้ฉันต้องพกติดตัวไว้เก็บภาพมันๆของชีวิตประจำวันอยู่ตลอดเวลา ไม่สามารถทิ้งให้เจ้า Lomo นอนตายอยู่บ้านเฉยๆได้เลย สิ่งที่สนุกสุดๆของการถ่ายภาพ Lomo คงเป็นการได้รอลุ้นภาพจากร้านล้างรูป เพราะเราจะไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าสีจะออกมาเพี้ยนและจัดจ้านแค่ไหนบวกกับองค์ประกอบที่ซ้อนทับบ้างไม่ซ้อนบ้าง แต่ถึงอย่างไรเจ้า Lomo ตัวน้อย ก็ช่วยเติมความสนุกเมื่อกดชัตเตอร์ทุกครั้ง โดยไม่ต้องคำนึงถึงความเป็นมืออาชีพ ไม่ต้องสนใจหลักการใดๆทั้งนั้น และภาพทุกภาพก็จะปรากฏงานศิลปะดิบๆออกมาอย่างน่าหลงใหลเลยทีเดียว” หญิงสาวผู้คลั่งไคล้กล้อง Lomo เล่าให้เราฟัง













แถมท้ายนิดนึงกับหลักการถ่ายภาพของ Lomographic Society ให้ยึดถือปฏิบัติตาม กฎบัญญัติ 10 ประการ (10 golden rules of Lomography) ดังนี้
1.เอากล้อง Lomo ติดตัวไปด้วยในทุกๆที่ที่ไป เหตุการณ์สำคัญอาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ต้องเตรียมตัวไว้ให้พร้อมเสมอ
2. ใช้ได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน สีสัน และอารมณ์ ในทุกๆช่วงเวลา ของทุกๆวัน มักจะมีอะไรแปลกใหม่เสมอ
3.LOMOGRAPHY เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ไม่ว่าจะกิน จะเดิน จะพูด หรือแม้แต่จะคิด จงคิดถึง Lomograph ไว้เสมอ
4.ถ่ายโดยไม่ต้องเล็ง ลองถ่ายมุมมองอื่นๆบ้าง ในมุมที่กล้องเข้าไปได้แต่คนถ่ายไปไม่ได้
5.ถ่ายให้ใกล้ที่สุดเท่าที่จะทำได้ สร้างสัมพันธ์กับสิ่งที่จะถ่าย ทำความรู้จักกับมัน
6.ถ่าย!อย่าคิด (William Firebrace) ปล่อยให้การถ่ายภาพเป็นไปตามสัญชาติญาณของเราเอง ข้อนี้ยากที่สุด
7.รวดเร็วเสมอ สำหรับ Lomography แล้ว สิ่งที่เห็นครั้งแรก สำคัญและมีความหมายที่สุดเสมอ จงเชื่อมั่นในตัวเอง
8.อย่าไปคิดมากว่าจะได้ภาพออกมาเป็นแบบไหน นึกถึงความสนุกเข้าไว้ ภาพดีๆหลายๆภาพมักเกิดจากความไม่ตั้งใจ
9.หลังจากล้างภาพออกมาแล้ว ก็ไม่ต้องไปพยายามนึกถึงว่ามันคือภาพอะไร ดูเส้น ดูสี ดูองค์ประกอบ แล้วนึกถึงความสนุกที่ได้รับ
10.ไม่ต้องไปสนใจกฎใดๆทั้งสิ้น คิดกฎของตัวเองขึ้นมา สร้างงานถ่ายภาพที่ตัวเองค้นพบ ปล่อยใจให้สบายแล้วสนุกกับ Lomo ให้มากที่สุด
(http://www.lomothai.com/)
แต่ถึงอย่างไรแม้จะมีกฎบัญญัติ 10 ข้อนี้ เราก็ไม่ต้องไปยึดติดอะไรมากมาย เพราะเมื่อมีกล้อง Lomo อยู่ในมือ ให้ท่องไว้ในใจเพียงประโยคเดียว
"Don't think just shoot "



-------------------------------------------------------------------------------------------------

เพื่อนที่เริ่มสนใจกล้อง Lomo ขึ้นมานิดหน่อยแล้ว มาดูรูปทรงของตัวกล้อง Lomo ที่มีมากมายหลายแบบกันดีกว่า
















-------------------------------------------------------------------------------------------------

อยากมีกล้องไว้เก๊กเท่ๆก็หาซื้อได้ที่
* ร้าน Room ที่ Siam Discovery Center ชั้น 4
* ร้าน ARTS ROOM แถวข้าวสารถนนราชดำเนิน ถัดจากเซเว่นไปทางขวา 2 ห้อง
* ร้าน only lomo ที่มาบุญครอง ชั้น4 โซนโตคิว
* ร้าน FotoGuffy ซ.จุฬา 50 ซอยเดียวกับร้านกินดื่มสามย่าน
* ร้าน TCDC ชั้น 6 Emporium

เรื่องโดย
นาย นิฐินันท์ เลี้ยงพันธุ์ 48610096
นายวีรยุทธ บุณรัตนะชัย 48610097
นาย อนุกูล ผยุงแก้ว 48610120


-------------------------------------------------------------------------------------------------











กินเที่ยวเยาวราช

อิ่มบุญอิ่มใจในเยาวราช

วันหยุดสบายๆอย่างเสาร์-อาทิตย์เชื่อได้ว่าใครหลายคนคงมีกิจกรรมดีๆ เพื่อผ่อนคลายความเหนื่อยล้าจากการทำงานในหลายวันที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการพักผ่อนอยู่บ้านกับครอบครัว หรืออาจจะมีโปรแกรมเที่ยวต่างจังหวัด แต่หากใครยังไม่ได้วางโปรแกรมเที่ยวในช่วงวันหยุดนี้ การตระเวนไหว้พระขอพรจากสิ่งสิทธิ์โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่การเมืองกำลังวุ่นวาย การเข้าวัดทำบุญคงจะเป็นวิธีที่ช่วยให้จิตใจเราสงบขึ้นได้


“เยาวราช” ชุมชนชาวจีนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยและยังตั้งอยู่ใจกลางเมืองหลวง เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย เพราะมีวัดและศาลเจ้าสำคัญหลายแห่งจึงนับว่าเหมาะอย่างยิ่งกับกิจกรรมเข้าวัดทำบุญ

เริ่มต้นกันที่วัดมังกรกมลาวาส หรือวัดเล่งเน่ยยี่ ตั้งอยู่บนถนนเจริญกรุงระหว่างซอยเจริญกรุง19 และ20 ซึ่งสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2414 ลักษณะของวัดเป็นสถาปัตยกรรมแบบวัดจีน หลังคามุงกระเบื้องลอนประดับลายปูนปั้นรูปสัตว์และเครือเถา พระประธานเป็นพุทธรูปสีทองแบบจีน ห้องโถงด้านหน้าพระอุโบสถตั้งฐานสำหรับสักการบูชา ด้านในประดิษฐานเทพเจ้าตามความเชื่อในลัทธิเต๋าและเทพเจ้าพื้นเมืองของชาวจีน ได้แก่ เจ้าแม่กวนอิม, ไท้ส่วยเอี๊ยะ เทพเจ้าแห่งดวงชะตา, ไฉ่ซิ้งเอี๊ยะ เทพเจ้าแห่งโชคลาภ, พระเมตไตรโพธิสัตว์ เป็นต้น

จุดเด่นของวัดนี้นอกจากจะมีเทพเจ้าหลายองค์ให้เราได้บูชาขอพรกันแล้ว การทำบุญสะเดาะเคราะห์แก้ชงกับเทพไท้ส่วยเอี๊ยะ เทพเจ้าแห่งดวงชะตา ก็เป็นสิ่งที่ได้รับความนิยมจากชาวไทยเชื้อสายจีนเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะคนที่เกิดในปีชวด มะเมีย ระกา เถาะ สำหรับวิธีการสะเดาะเคราะห์นั้นทางวัดมีการจัดเตรียมชุดสำหรับสะเดาะเคราะห์เป็นแผ่นกระดาษให้เราเขียนชื่อ สกุล วัน เดือน ปีที่เกิด จากนั้นจุดธูป 3 ดอกต่อหน้าเทพเจ้าแห่งดวงชะตาเพื่อขอพรให้ท่านคุ้มครอง แล้วนำแผ่นกระดาษมาพัดในลักษณะออกจากตัวตามอายุ ซึ่งเปรียบเสมือนกันพัดเอาเคราะห์ร้ายออกจากตัว

เมื่ออิ่มบุญกันถ้วนหน้าแล้วก็ถึงเวลาที่เราจะได้แบ่งปันความสุขให้กับผู้อื่น กับพิธีทิ้งกระจาดวิญญาณที่ ศาลเจ้าไต้ฮงกง ตรงข้ามกับมูลนิธิป่อเต็กติ๊ง ซึ่งเป็นการเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับผู้ล่วงลับไปแล้วและหลังจากเสร็จสิ้นพิธีทางมูลนิธิฯจะนำเครื่องไหว้ออกแจกจ่ายให้กับผู้ยากไร้ งานนี้ถือได้ว่าได้บุญ 2 ต่อเลยทีเดียว สำหรับเครื่องไหว้ทางมูลนิธิได้จัดเตรียม ข้าวสาร หมวกสาน กระดาษ รวมถึงบรรดาอาหารแห้งต่างๆ เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ใจบุญซึ่งมีหลากหลายราคาให้ได้เลือกสรรกันตามกำลังศรัทธา

หลังจากนั้นต่อด้วยกับกิจกรรมไหว้พระแบบไทยๆกันที่วัดไตรมิตรวิทยาราม วรวิหาร หรือที่หลายคนเรียกกันคุ้นปากว่า วัดไตรมิตร ผู้คนส่วนใหญ่จะนิยมมาไหว้พระขอพรจากหลวงพ่อทองคำ พระพุทธรูปทองคำปางมารวิชัยที่ใหญ่ที่สุดและได้รับการบันทึกลงกินเนสบุ๊ค ซึ่งประดิษฐานอยู่ภายในพระอุโบสถ พร้อมทั้งปะพรมน้ำมนต์และผูกข้อมือจากพระภิกษุเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต ที่สำคัญในขณะนี้ทางวัดได้จัดสร้างมลฑปสำหรับประดิษฐานหลวงพ่อทองคำทดแทนพระอุโบสถหลังเก่าที่เริ่มทรุดโทรม ซึ่งทางวัดได้เปิดโอกาสให้คนใจบุญได้บริจาคเงินเพื่อสมทบทุนในการก่อสร้างการได้เข้าวัดทำบุญในย่านเยาวราชนอกจากจะได้สร้างความเป็นสิริมงคลให้กับชีวิตแล้วแต่เรายังสามารถสัมผัสถึงวิถีชีวิตของชาวไทยเชื้อสายจีนผ่านสองฟากฝั่งถนนที่เต็มไปด้วยร้านค้ากับสินค้านานาชนิดพร้อมทั้งผู้คนที่ต่างพากันจับจ่ายใช้สอย สร้างความคึกคักให้แก่เยาวราชเป็นอย่างยิ่งและนี้คงเป็นอีกเสน่ห์ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้แวะมาเยี่ยมเยือนกันอย่างไม่ขาดหาย

เส้นทางนักชิม

ช้งเช้ง!!ช้งเช้ง!!เสียงของคนไทยเชื้อสายจีนที่อยู่ในแถบนี้เรียกร้องขายของกันอย่างคึกคัก และเสียงของนักท่องเที่ยวที่ต่างพากันมาแวะเวียนเมื่อยามหิว แห่งนี้เป็นสถานที่มีอหารแบบจีนโบราณ มีทั้งสูตรต้นตำหรับดั้งเดิมหรือแบบดัดแปลงให้เข้ากับยุคสมัย ตรอกซอกซอย ตามถนนที่ลาดยาวเต็มไปด้วยของกินมากมายหลายขนาน และขึ้นชื่อว่าเป็นถนนสายนักชิมเพราะมีของกินมากมาย แต่ละร้านล้วนมีชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับของนักชินทั้งสิ้น

เรามาเริ่มเสาะหาร้านกันตั้งแต่ซอย เจริญกรุง21 เป็นซอยที่ถัดมาจากวัดมังกรที่มีชื่อเสียง เพื่อที่ทุกคนจะได้หาซอยกันง่ายๆ ปากทางร้านแรกเป็นร้านขายขนมที่มีชื่อว่าอิ๋วก้วยเป็นขนมของคนจีนสมัยโบราณ เจ๊เกียว เจ้าของร้านที่เปิดขายในเยาวราชมากกว่า 40 ปีเล่าให้เราฟังว่าขนมนี้มีขายมาตั้งแต่สมัยรุ่นคุณปู่คุณยาย ซึ่งเป็นขนมมงคลใช้ไหว้เจ้าขอพร ส่วนใหญ่มักนิยมไหว้ปลายปี พรที่ขอกันสวนใหญ่คือขอให้การค้าขายราบรื่นร่ำรวย

ลักษณะของขนมจะมีลักษณะที่แตกต่างกันเช่น เป็นรูปหมู ที่หมายถึงการค้า รูปลักษณะห่อเงินห่อทอง เป็นสามเหลี่ยม และรูปเป็นก้อนกลมๆ หมายถึง ครอบครัวกลมเกลียว

ถัดไปเป็นร้านขายขนมฮวงกั๊วเปี๊ยะ หรือ เซาปิ้ง คล้ายๆกบขนมที่สมัยนี้เรียกกันว่า ขนมโดเรม่อน ที่เป็นก้อนกลมๆมีไส้ต่างๆ ขนมนี้ก็เช่นกัน มีทั้งไส้เผือก และไส้ถั่วเหลือง ชิ้นจะพอดีคำ รสชาติกลมกล่อม มีส่วนผสมของแป้งหมี่ แป้งนุ่มกำลังดีไม่หนามาก กัดลงไปเราสามารถเจอกับไส้ได้เลย ราคาขายอยู่ที่ชิ้นละ 3 บาทเท่านั้น ราคาก็ถูกแสนถูก คนขายอาม่าก็ใจดี พูดจาไพเราะชวนน่าซื้อจริงๆคะ

เราลองทานขนมหวานมา2ร้านแล้ว ร้านถัดมาเพื่อความไม่น่าเบื่อและให้ทุกคนได้ลิ้มลองอาหารทั้งทีต้องให้ครบ 5 หมู่ ร้านนี้จะมีคนเยอะมากมานั่งรอต่อคิวกัน ที่นั่งก็แน่เอี๊ยด! ท่าทางจะอร่อยเหาะ จริงๆ ขณะที่ยืนรอเราจะได้ยินเสียงของคนสั่งบ้างก็ว่า กระเพาะ หมูกรอบ ไส้ ไม่เลือด บ้างก็ น้ำข้น น้ำใส บ้างก็ว่าทุกอย่าง พิเศษ จะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากก๋วยจั๊บ เจ้าอร่อย มีสนนราคาขายอยู่ที่ 40 -50 บาทต่อถุงหรือต่อชาม

เห็นมั้ยคะเพียงแค่ซอยเดียวเราสามารถหาร้านอร่อยได้ถึง3ร้าน และแต่ละร้านก็ขายขนมที่แปลกหาค่อนข้างยากตามท้องตลวดทั่วไปเพราะเป็นขนมที่เป็นเฉพาะของคนจีนเท่านั้น นอกจากก๋วยจั๊บ แต่ถึงแม้ว่าก๋วยจั๊บจะมีอยู่ตามท้องตลาดทั่วไปแต่ความอร่อยแบบดั้งเดิมก็หารับประทานยากเต็มที

เมื่อเราเดินออกจากซอยมาได้เลี้ยวซ้ายเดินตามฟุตบาทมาเรื่อยๆอีกนิดหน่อยเราก็จะได้ยินเสียงเรียกร้องขายของอาแปะคนหนึ่งที่มีเสียงร้องเป็นเอกลักษณ์ คือภาษาไทยที่ค่อนข้างเพี้ยน เป็นลูกเล่นในการเรียกร้องลูกค้าอย่างน่าสนใจ เมื่อใครได้ยินก็คงต้องหยุดดูว่าอาแปะ คนนี้แกขายอะไร

เมื่อหยุดดูแล้วก็น่าสนใจอยู่ไม่น้อยคือ ขนมที่เรียกว่า กะลอจี๊ ร้านนี้เป็นอีกร้านหนึ่งที่คนแถวนั้นรู้จักกันเป็นอย่างดีเพราะแกขายมานานกว่า 60 ปี อาแปะเล่าให้ฟังว่าแกเริ่มขายมาตั้งแต่อายุ13ปี ตอนนี้อายุถึง73ปีแล้ว เพราะฉะนั้นไม่ต้องบอกถึงรสชาติที่การันตีด้วยอายุการขายคงจะพอรู้กันอยู่แล้ว นอกจากรสชาติที่เป็นที่ยอมรับแล้วลีลาการขายนี่ไม่ได้โรยลาไปตามวัยเลย รอยยิ้มและเสียงที่สดใสบ่งบอกถึงความเป็นคนที่อารมณ์ดีอยู่ตลอดเวลาถึงแม้จะอยู่หน้าเตาร้อนๆก็ไม่ได้มีอิทธิพลอะไรเลย คงเป็นด้วยเหตุนี้ที่ทำให้อาแปะขายขนมดีอย่างเทน้ำเทท่า นอกจากขายที่นี้แล้วแกยังบอกอีกว่า มีคนมาสั่งหรือพาแกไปเปิดร้านขายตามงานต่างๆมากมาย น้ำเสียงแสดงได้ถึงความภาคภูมิใจอย่างมาก

เดินมาขนาดนี้ท่ามกลางอากาศที่ร้อนแสนร้อน และอิ่มด้วยหนังท้องตึงหนังตาเริ่มหย่อน แต่เราก็ยังไม่ย่อท้อ เดินหน้าต่อไป แต่เราจะเปลี่ยนซอยเดินกันบ้าง จึงเดินข้ามฝั่งถนนไป ฝั่งถนนแปลงนาม ที่มีร้านอาหารโด่งดังมากมายเช่นกัน เริ่มจากต้นซอย เป็นร้านที่สามารถมากินได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยเฉพาะเป็นที่รู้จักของนักท่องราตรี เพราะร้านนี้จะเปิดขายทั้งวันทั้งคืน และอาหารยังอร่อยถูกปากอีกด้วย มีกับข้าวให้เลือกหลากหลาย มีทั้งข้าวสวย ข้าวต้มแล้วแต่ชอบ


เที่ยวเยาวราชให้สนุก

เยาวราชถือเป็นสถานที่ที่อีกแห่งหนึ่งกรุงเทพฯที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ เพราะมีทั้งวัดและศาลเจ้าให้คนใจบุญได้เลือกแวะเวียนกันมาทำบุญ แต่ในการเดินทางเที่ยวเยาวราชแต่ละครั้งควรจะมีการเตรียมตัวสักเล็กน้อยเพื่อจะได้ไม่ต้องเสียอารมณ์กับเหตุการณ์ที่ไม่คาดหวัง ซึ่งก็มีเคล็ด(ไม่)ลับง่ายๆที่จะทำให้เที่ยวได้อย่างสนุกสนานไร้ปัญหารบกวนใจ

1.วางแผนการเดินทาง
หากไม่ต้องการหมดสนุกกับการหลงทาง หรือคิดไม่ออกว่าเลือกเที่ยวที่ไหนก่อน ขอแนะนำว่าก่อนออกเดินทางควรวางแผนสักเล็กน้อยว่าเริ่มเที่ยวที่ไหนก่อนหลัง ส่วนเรื่องการแต่งกายนั้นก็สำคัญไม่แพ้กับการวางแผนการเดินเนื่องจากสถานที่ส่วนใหญ่เป็นวัดและศาลเจ้า จึงควรแต่งกายให้เหมาะสมกับสถานที่ ถ้าเป็นไปได้ กางเกงขาสั้น เสื้อสายเดี่ยวหรือแขนกุด ก็ของดแล้วกัน

2.ใช้บริการรถสาธารณะดีกว่า
ด้วยสภาพการจราจรที่ติดขัดเพราะเป็นย่านชุมชน ทำให้ค่อนข้างหาที่จอดรถได้ยาก ดังนั้นหากไม่ต้องการเซ็งกับปัญหารถติดควรใช้บริการรถสาธารณะ อย่างรถเมล์, มอเตอร์ไซต์รับจ้าง หรือ ตุ๊กตุ๊ก แถมยังได้อรรถรสในการเที่ยวเยาวราชไปอีกแบบที่สำคัญยังประหยัดเงินค่าน้ำมันอีกด้วย



3.จับจ่ายอย่างพอดี
นอกจากวัดและศาลเจ้าแล้วเยาวราชยังมีอาหารอร่อยๆขึ้นชื่อมากมายให้ได้เลือกชิมกัน แต่ก็อย่าสนุกกับการชิมกันจนเพลินลืมดูงบประมาณในกระเป๋า เพราะเงินค่าขนมของคุณอาจจะหมดไปภายในพริบตา ทางที่ดีควรไปกับเพื่อนเยอะ แล้วแบ่งๆกันซื้อจะดีกว่า


4.ระวังมิจฉาชีพ
ถือว่าเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง เพราะเยาวราชผู้คนค่อนข้างพลุกพล่าน ซึ่งพวกมิจฉาชีพอาจจะแฝงตัวมาในรูปแบบของนักท่องเที่ยว ดังนั้นก็ควรระมัดระวังทรัพย์สินของคุณด้วยอย่าสนุกจนเพลินลืมห่วงของในกระเป๋า และหากมีปัญหาอะไรที่ไม่ชอบมาพากลก็รีบแจ้งตำรวจทันที


5.พกพัดติดมือ
ด้วยอากาศที่ค่อนข้างร้อนแถมยังต้องเดินเบียดเสียดผู้คน ปัญหาเหล่านี้อาจจะทำให้ใครหลายคนอารมณ์เสีย ทางเลือกที่คุณสามารถแก้ปัญหานี้ได้ คือ ควรเตรียมพัด หรือพัดลมมือถือ เพื่อดับร้อนระหว่างเดินทาง แต่ถ้าให้ดีก็น่าจะพกพวกยาดม ยาหม่องไปด้วย เพื่อเกิดหน้ามืดเป็นลมขึ้นมา

ลองนำเคล็ดลับดีๆเหล่านี้ไปปรับใช้ดู เพื่อจะได้เที่ยวเยาวราชกันอย่างสนุก แต่ที่สำคัญควรเที่ยวกันอย่างมีสติ เพื่อที่จะได้เป็นวันหยุดสุดพิเศษของคุณและครอบครัว


จัดทำโดย
ปิยนุช
เลอลักษณ์
รัตนาภรณ์
ณพงศ์
























สถานที่ท่องเที่ยวในกรุงเทพฯที่ชาวต่างชาติชอบไป

โดย : นาย ธนัท นาคกิติกูล 48610111
น.ส.กรรณิกา แก้วกรต 48610124
น.ส.นริศรา เกตุสินรังสรรค์ 48610136
น.ส.ภัทราวรรณ ชุลเฟื่อง 48610151
นาย ณัฐพล ปลื้มกมล 48610154


วัดพระศรีรัตนศาสดาราม




วัดพระศรีรัตนศาสดาราม

วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า วัดพระแก้ว นั้น พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นพร้อมกับการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๕ แล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๓๒๗

เป็นวัดที่สร้างขึ้นในเขตพระบรมมหาราชวัง ตามแบบวัดพระศรีสรรเพชญ สมัยอยุธยา วัดนี้อยู่ในเขตพระราชฐานชั้นนอก ทางทิศตะวันออก มีพระระเบียงล้อมรอบเป็นบริเวณ เป็นวัดคู่กรุงที่ไม่มีพระสงฆ์จำพรรษา ใช้เป็นที่บวชนาคหลวง และประชุมข้าทูลละอองพระบาทถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา

รัชกาลที่ ๑ โปรดเกล้าให้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรหรือพระแก้วมรกต พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของไทย มาประดิษฐาน ณ ที่นี้ วัดพระศรีรัตนศาสดารามนี้ ภายหลังจากการสถาปนาแล้ว ก็ได้รับการปฏิสังขรณ์สืบต่อมาทุกรัชกาล เพราะเป็นวัดสำคัญ จึงมีการปฏิสังขรณ์ใหญ่ทุก ๕๐ ปี คือในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลปัจจุบัน

เนื่องในโอกาสสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ครบ ๒๐๐ ปี ในปี พ.ศ. ๒๕๒๕ ที่ผ่านมา การบูรณปฏิสังขรณ์ที่ผ่านมา มุ่งอนุรักษ์สถาปัตยกรรมและศิลปกรรมอันเป็นมรดกชิ้นเอกของชาติ ให้คงความงามและรักษาคุณค่าของช่างศิลปไทยไว้อย่างดีที่สุด เพื่อให้วัดพระศรีรัตนศาสดารามนี้อยู่คู่กับกรุงรัตนโกสินทร์ตลอดไป

หลังจากที่ได้รู้ประวัติความเป็นมาของวัดพระศรีรัตนศาสดารามพอสังเขปแล้ว ต่อไปเราจะมาอธิบายถึงสถาปัตยกรรมภายในวัดพระแก้วว่ามีอะไรบ้างที่สามารถดึง ดูดนักท่องเที่ยวได้อย่างมากมายขนาดนี้ อย่างเช่น

พระอุโบสถ


พระอุโบสถ สร้างในสมัยรัชกาลที่ ๑ เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร พระพุทธรูปปางสมาธิ ทำด้วยมณีสีเขียวเนื้อเดียวกันทั้งองค์หน้าตักกว้าง ๔๘.๓ ซ.ม สูงตั้งแต่ฐานถึงยอดพระเศียร ๖๖ ซ.ม ซึ่งประดิษฐานอยู่ในบุษบกทองคำ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามเป็นพระอุโบสถที่สวยสดงดงามมาก มีภาพเขียนปางมารวิชัยอยู่ทางด้านทิศตะวันออก บานประตูพระอุโบสถและบานหน้าต่างประดับด้วยมุก มีลวดลายสวยงาม เป็นฝีมือในรัชกาลที่ ๑

พระระเบียง

พระระเบียง คือ พระระเบียงที่ล้อมรอบพระอุโบสถทั้ง ๔ ด้าน รอบพระระเบียงภายในมรภาพเรื่องรามเกียรติ์ตั้งแต่ต้นจบจบ มีโคลงสี่สุภาพจารึกลงบนแผ่นศิลาตามเสาอธิบายภาพประกอบ

ศาลารายรอบพระอุโบสถ

ศาลารายรอบพระอุโบสถ สร้างในสมัยรัชกาลที่ ๔ ศาลาราบรอบพระอุโบสถมี ๑๒ หลัง ใช้เป็นที่อ่านหนังสือศาสนาให้ราษฎรที่ไม่รู้หนังสือฟังเวลามีงานหรือวัน สำคัญทางพระพุทธศาสนา จนเกิดมีประเพณีสวดโอ้เอ้ วิหารรายขึ้นที่นี่

หอราชพวศานุสรณ์

หอราชพวศานุสรณ์ สร้างในสมัยรัชกาลที่ ๔ ตั้งอยู่บนกำแพงแก้วด้านหลังพระอุโบสถอยู่ทางทิศใต้ เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปประจำรัชกาลพระมหากษัตริย์กรุงรัตนโกสินทร์ ภายในเขียนภาพพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร

หอราชกรมานุสรณ์และพงษานุสร

หอ ราชกรมานุสรณ์และพงษานุสรณ์ สร้างในสมัยรัชกาลที่ ๔ ตั้งอยู่บนกำแพงแก้ว ด้านหลังพระอุโบสถทางทิศเหนือ ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปประจำรัชกาลต่างๆในสมัยอยุธยาหอหนึ่ง และในสมัยรัตนโกสินทร์อีกหอหนึ่ง ภายในเขียนภาพพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ซึ่งเป็นฝีมือของขรัวอินโข่ง จิตรกรไทยที่มีฝีมือดีที่สุดในสมัยนั้น

สิ่งที่กล่าวมานี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของวัดเท่านั้น แต่ยังมีสถาปัตยกรรมอีกหลายอย่างที่มีความสวยสดงดงามไม่แพ้กันเลยทีเดียว และที่สำคัญ วัดพระศรีรัตนศาสดารามยังเป็นวัดที่สำคัญและเป็นที่เชิดหน้าชูตาของบ้าน เมืองเรา ตลอดจนเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของประเทศอีกด้วย


วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือ วัดพระแก้ว ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมืองกรุงเทพฯ จะอยู่ใกล้ๆกับ สนามหลวง ,กระทรวงกลาโหม และวัดโพธ์ บรรยากาศภายในวัดอากาศไม่ร้อน แต่จะร่มรื่นเย็นสบาย ยกเว้นออกไปเดินกลางแจ้งหรือกลางแดดจะร้อนพอสมควร
ส่วนเรื่องการแต่งกายทางวัดพระแก้วจะมีข้อห้ามอยู่ว่า ห้ามสวมกางเกงหรือกระโปรงที่มีชายสูงกว่าเข่าทุกชนิด เสื้อที่เปิดไหล่ทุกชนิด รองเท้าที่เปิดส้นทุกชนิดและกางเกนยีนส์ขาดๆ อย่างเด็ดขาด เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว ก่อนที่เราจะไปชมความสวยงามของวัดเราก็ควรที่จะแต่งตัวให้เรียบร้อย และเหมาะสมกับสถานที่ ๆ เราจะไปด้วยนะคะ เพื่อแสดงออกถึงความเป็นคนไทยที่รู้จักกาลเทศะและรักษาตามกฎระเบียบที่วัดได้ตั้งไว้ และที่สำคัญ ยังทำให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมีความประทับใจในความเป็นระเบียบของพี่น้องชาวไทยอีกด้วย
ไม่ว่าจะเป็นชาวไทยหรือว่าชาวต่างชาติที่มาเที่ยววัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือ วัดพระแก้วนี้ สิ่งที่ทุกคนจะได้รับกลับไปก็คือ ได้เห็นความสวยสดงดงามของศิลปวัฒนธรรมไทยที่หาดูได้จากที่ไหนไม่ได้แล้ว เพราะฉะนั้นแล้วไม่ว่าจะเป็นใครมาจากประเทศไหนก็ตาม ที่มาเที่ยวเมืองไทยก็ไม่ควรพลาดที่จะเลือกมาที่นี่เด็ดขาด…….

ศาลท่านท้าวมหาพรหม โรงแรมเอราวัณ



ศาลท่านท้าวมหาพรหม โรงแรมเอราวัณ

เมืองกรุงเทพมหานคร ณ ใจกลางเมืองที่ห้อมล้อมไปด้วยศูนย์การค้า โรงแรม บริษัท ได้เป็นสถานที่ตั้งของท้าวมหาพรหม หรือพระพรหมเอราวัณ ที่เป็นที่เคารพบูชาของคนไทยมานานแล้วหลายปี

ท้าวมหาพรหม หรือพระ พรหมเอราวัณ ที่ได้สร้างบูชามาแต่ ปี พ.ศ. 2499 เทวสถานที่สถิตประดิษฐานองค์บูชาท่านท้าวมหาพรหม อยู่บริเวณหัวมุมถนนด้านหน้าโรงแรมเอราวัณ เดิมนี้นอกจะมีความเก่าแก่กว่าศาล เทวาลัยเทพเจ้าองค์อื่นแล้ว ยังเป็นมหาเทพผู้สร้างโลกและหนึ่งในเทพตรีมูรติ ซึ่งถือเป็นมหาเทพสูงสุด

ถ้ากล่าวถึง "ศาลท่านท้าวมหาพรหม โรงแรมเอราวัณ" เชื่อว่าหลายท่านคงรู้จักเป็นอย่างดี ยังเป็นที่เคารพสักการะทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศที่ลงทุนข้ามน้ำข้ามทะเลมาแสดงความศรัทธาต่อ ท่านท้าวมหาพรหม ณ ที่แห่งนี้ ซึงเป็นสถานที่สำคัญที่นักท่องเที่ยวต่างชาติต้องมาเมื่อได้มาเมืองไทย

พระพรหมตามความเชื่อแบบพราหมณ์ ถือเป็น 1 ใน 3 ของพระเป็นเจ้าที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ เรียกรวมกันว่า ตรีมูรติได้แก่ พระอิศวร (ศิวะ) พระพรหม และพระวิษณุ (นารายณ์) โดยพระพรหม เชื่อกันว่าเป็นพระผู้สร้างสรรค์สิ่งทั้งปวง ได้แก่ โลก สวรรค์ และมนุษย์ ในขณะที่พระวิษณุ เป็นผู้รักษาดูแล และพระอิศวร เป็นผู้ทำลาย

พระพรหมที่ประดิษฐานไว้บริเวณ ศาลท่านท้าวมหาพรหม โรงแรมเอราวัณมีลักษณะกายสีแดง สี่พักตร์ แปดกร ในแต่ละกรทรงอาวุธที่แตกต่างกันออกไป อาทิ แว่นแก้ว คฑา จักร สายประคำ ธารพระกรไม้เท้า ช้อน หม้อน้ำ คัมภีร์พระเวท ทรงหงส์เป็นพาหนะ และมีพระสุรัสวดีหรือพระสรัสวดีเป็นพระมเหสี ที่สถิตของพระพรหมเรียกกันว่า "พรหมพฤนทา" อยู่ในพรหมโลก ว่ากันว่าอยู่เหนือชั้นสวรรค์ขึ้นไปอีก โดยองค์พระพรหมได้รับการออกแบบ และการปั้นตามแบบแผนของกรมศิลปากรจาก นายจิตร พิมพ์โกวิท ช่างกองหัตถศิลป์ ส่วนผู้ที่ออกแบบศาลคือ นายเจือระวี ชมเสวี และ หม่อมหลวงปุ่ม มาลากุล

ในช่วงแรกที่ได้มีการสร้างศาลพระพรหมยังไม่ค่อยมีคนมากราบไหว้มากนัก คนที่มาส่วนมากมักจะเป็นกลุ่มผู้บริหารเจ้าหน้าที่และแขกของโรงแรม แต่เมื่อมีคนมากราบไหว้แล้วขอพร พรที่ขอได้ดังใจสมปรารถนา ทำให้คนที่ทราบข่าวคราวถึงความศักดิ์สิทธิ์ขององค์ท้าวมหาพรหม ก็แห่กันมากราบไหว้สักการะพร้อมกับมีการแก้บนกันด้วย

ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ศาลท่านท้าวมหาพรหม โรงแรมเอราวัณ จึงเป็นที่รู้จักของคนไทยและชาวต่างชาติทำให้มีคนมากราบไหว้อย่างมาก เพราะการไหว้สักการะขอพรจากองค์ท้าวมหาพรหมแล้วได้พรดังสมปรารถนา เมื่อได้พรแล้วจะมีการแก้บนโดย ถวายเครื่องสักการะบูชา เครื่องเซ่นเครื่องสังเวย พวงมาลัย ดอกไม้ ธูปเทียน ช้าง ม้า ผ้าแพรพรรณ ละคร ระบำ รำฟ้อน ฯลฯ ตามแต่คนๆนั้นจะอธิฐานหรือบนบานศาลกล่าวสิ่งใดไว้ โดยส่วนใหญ่เมื่อใครได้พรสมดังปรารถนาแล้วก็จะมาทำการแก้บนที่ศาลทุกครั้ง

นี้คือสถานที่คนไทยให้ความเคารพมานานและยังเป็นอีกสถานที่ ที่นักท่องเที่ยว ชาวต่างชาติยังต้องมาเมื่อได้เมืองไทย ชาวต่างชาติบางคนเมื่อได้ยินถึงความศักดิ์สิทธิ์ขององค์ท้าวมหาพรหม บางคนอยู่คนละฝากโลกยังต้องมากราบสักการะองค์ท้าวมหาพรหม ณ ใจกลางกรุงเทพมหานคร